ก่อหนี้อย่างไร ให้เกิดความมั่งคั่ง

โดย ณัฐศรันย์ ธนกฤตภิรมย์ CFP® สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
TSI_Article_FL_094_ก่อหนี้อย่างไร ให้เกิดความมั่งคั่ง_Thumbnail
Highlight

ก่อนก่อหนี้ควรพิจารณาก่อนว่าหนี้ที่กำลังจะก่อขึ้น มีความจำเป็นกับชีวิตมากน้อยเพียงใด โดยหากก่อหนี้ที่ดี เช่น หนี้ที่ก่อในเกิดรายได้ สามารถสร้างผลประโยชน์ได้ในอนาคต หนี้เพื่อความมั่นคงในระยะยาว หนี้เพื่อความจำเป็นในการดำรงชีวิต หรือหนี้เพื่อการประกอบธุรกิจที่สามารถต่อยอดธุรกิจและทำกำไรได้ ส่วนหนี้ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือมีให้น้อยที่สุด คือ หนี้ที่ไม่ดี เพราะนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดรายได้แล้ว ยังไม่สามารถช่วยสร้างความมั่งคั่งในอนาคตได้

“หนี้” (Obligation) เป็นความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “เจ้าหนี้” มีสิทธิบังคับให้อีกฝ่ายซึ่งเรียกว่า “ลูกหนี้” ทำหรือไม่ทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหนี้ได้ ส่วน หนี้สิน(Debt) คือ เงินที่ผู้หนึ่งเรียกว่า “ลูกหนี้” ติดค้างอยู่จะต้องใช้ให้แก่อีกผู้หนึ่งที่เรียกว่า “เจ้าหนี้” เรียกสั้น ๆ ว่า หนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1. หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หมายถึง การซื้อสินทรัพย์เพื่อนำมาใช้ส่วนตัวในการอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน โดยการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งหนี้สินกลุ่มนี้จะมีกระแสเงินสดจ่ายเพียงอย่างเดียวในแต่ละเดือน มีสมการ ดังนี้
รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่ายหนี้สิน = กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ
2. หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ หมายถึง การซื้อสินทรัพย์เพื่อลงทุน โดยการขอสินเชื่อจากธนาคารหรือใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ซึ่งหนี้สินกลุ่มนี้จะมีกระแสเงินสดจ่ายและรับในแต่ละเดือน มีสมการ ดังนี้
รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่ายหนี้สิน + กระแสเงินสดรับจากสินทรัพย์ = กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ

คำถาม คือ หนี้สองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร

ตัวอย่าง

ลูกหนี้มีความสามารถในการกู้ยืมเงินเป็นจำนวน 6,000,000 บาท โดยมีการจัดสรรเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (50%) เพื่อใช้ส่วนตัว (50%) รายการละ 3,000,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งมีระยะเวลาผ่อน 360 เดือน (30 ปี) ผ่อนเดือนละ 20,000 บาท (กรณี ปล่อยเช่า ได้ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท) และมีข้อมูลเพิ่มเติม คือ ผู้กู้มีรายได้หลัก 50,000 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายประจำ 25,000 บาท (สมมติให้ข้อมูลทางการเงินไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา 360 เดือน) มูลค่าจะเปลี่ยนไปตามหนี้สิน 2 กลุ่ม ดังนี้

 

1. หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่ายหนี้สิน

 

กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ
= 50,000 – 25,000 – 20,000
= 5,000 ต่อเดือน 

2. หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่ายหนี้สิน + กระแสเงินสดรับจากสินทรัพย์

= 50,000 – 25,000 – 20,000 + 10,000
= 15,000 ต่อเดือน

จะเห็นว่ากระแสเงินสดรับต่อเดือนที่แตกต่างกันนั้น ส่งผลต่อการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยเมื่อนำมูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด มารวมด้วย โดยหาได้จากสมการ ดังนี้ 

มูลค่าทรัพย์สิน ณ วัน สิ้นงวด = (กระแสเงินสดรับต่อเดือน x ระยะเวลา) + มูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด

กรณีที่ 1 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ 
= (5,000 x 360) + 6,000,000

= 1,800,000 + 6,000,000
= 7,800,000 บาท

กรณีที่ 2 หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้
= (15,000 x 360) + 6,000,000

= 5,400,000 + 6,000,000
= 11,400,000 บาท

ส่วนต่างของกรณีที่ 2 - กรณีที่ 1
= 11,400,000 – 7,800,000

= 3,600,000 บาท

จากข้อมูลดังกล่าว หากเลือกบริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสม หนี้สินจะทำให้มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอีก 3,600,000 บาท ณ วันสิ้นงวดบัญชีของการผ่อนชำระ

TSI_Article_FL_094_ก่อหนี้อย่างไร ให้เกิดความมั่งคั่ง_01

สรุปได้ว่า “หนี้สิน” ไม่ได้เป็นการสร้างภาระเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีแฝงอยู่ด้วย เพียงแค่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะสร้างหนี้เพื่ออะไร และจะบริหารจัดการกระแสเงินสดต่อเดือนอย่างไร เพียงเท่านี้ “หนี้” ก็จะสามารถสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้อย่างแน่นอน

สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสินเชื่อรูปแบบต่าง ๆ การประเมินความพร้อมของตนเอง และสิ่งที่ควรทำก่อนก่อหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “รู้ก่อนเป็นหนี้ จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง​” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่

หรือเรียนรู้การบริหารจัดการหนี้เมื่อเริ่มมีปัญหา ขั้นตอนและวิธีการแก้ไขหนี้ รวมถึงการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “เป็นหนี้แล้วจัดการยังไง” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่




บทความที่เกี่ยวข้อง