“หนี้” (Obligation) เป็นความสัมพันธ์ทางกฎหมายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “เจ้าหนี้” มีสิทธิบังคับให้อีกฝ่ายซึ่งเรียกว่า “ลูกหนี้” ทำหรือไม่ทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ของฝ่ายเจ้าหนี้ได้ ส่วน “หนี้สิน” (Debt) คือ เงินที่ผู้หนึ่งเรียกว่า “ลูกหนี้” ติดค้างอยู่จะต้องใช้ให้แก่อีกผู้หนึ่งที่เรียกว่า “เจ้าหนี้” เรียกสั้น ๆ ว่า หนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่ายหนี้สิน = กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ |
รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่ายหนี้สิน + กระแสเงินสดรับจากสินทรัพย์ = กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ |
คำถาม คือ หนี้สองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร
ตัวอย่าง
ลูกหนี้มีความสามารถในการกู้ยืมเงินเป็นจำนวน 6,000,000 บาท โดยมีการจัดสรรเงินเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (50%) เพื่อใช้ส่วนตัว (50%) รายการละ 3,000,000 บาท ตามลำดับ ซึ่งมีระยะเวลาผ่อน 360 เดือน (30 ปี) ผ่อนเดือนละ 20,000 บาท (กรณี ปล่อยเช่า ได้ค่าเช่าเดือนละ 10,000 บาท) และมีข้อมูลเพิ่มเติม คือ ผู้กู้มีรายได้หลัก 50,000 บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายประจำ 25,000 บาท (สมมติให้ข้อมูลทางการเงินไม่เปลี่ยนแปลงตลอดระยะเวลา 360 เดือน) มูลค่าจะเปลี่ยนไปตามหนี้สิน 2 กลุ่ม ดังนี้
1. หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ
= 50,000 – 25,000 – 20,000
= 5,000 ต่อเดือน
2. หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้
กระแสเงินสดคงเหลือสุทธิ = รายได้ประจำ – ค่าใช้จ่ายประจำ – กระแสเงินสดจ่ายหนี้สิน + กระแสเงินสดรับจากสินทรัพย์
= 50,000 – 25,000 – 20,000 + 10,000
= 15,000 ต่อเดือน
จะเห็นว่ากระแสเงินสดรับต่อเดือนที่แตกต่างกันนั้น ส่งผลต่อการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว โดยเมื่อนำมูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด มารวมด้วย โดยหาได้จากสมการ ดังนี้
มูลค่าทรัพย์สิน ณ วัน สิ้นงวด = (กระแสเงินสดรับต่อเดือน x ระยะเวลา) + มูลค่าทรัพย์สิน ณ วันสิ้นงวด
กรณีที่ 1 หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
= (5,000 x 360) + 6,000,000
= 1,800,000 + 6,000,000
= 7,800,000 บาท
กรณีที่ 2 หนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้
= (15,000 x 360) + 6,000,000
= 5,400,000 + 6,000,000
= 11,400,000 บาท
ส่วนต่างของกรณีที่ 2 - กรณีที่ 1
= 11,400,000 – 7,800,000
= 3,600,000 บาท
จากข้อมูลดังกล่าว หากเลือกบริหารจัดการหนี้ได้อย่างเหมาะสม หนี้สินจะทำให้มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอีก 3,600,000 บาท ณ วันสิ้นงวดบัญชีของการผ่อนชำระ
สรุปได้ว่า “หนี้สิน” ไม่ได้เป็นการสร้างภาระเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีข้อดีแฝงอยู่ด้วย เพียงแค่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าจะสร้างหนี้เพื่ออะไร และจะบริหารจัดการกระแสเงินสดต่อเดือนอย่างไร เพียงเท่านี้ “หนี้” ก็จะสามารถสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้อย่างแน่นอน
สำหรับผู้ที่สนใจ เรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสินเชื่อรูปแบบต่าง ๆ การประเมินความพร้อมของตนเอง และสิ่งที่ควรทำก่อนก่อหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “รู้ก่อนเป็นหนี้ จะได้ไม่รู้งี้ทีหลัง” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
หรือเรียนรู้การบริหารจัดการหนี้เมื่อเริ่มมีปัญหา ขั้นตอนและวิธีการแก้ไขหนี้ รวมถึงการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ สามารถเรียนรู้เพิ่มเติม ผ่าน e-Learning หลักสูตร “เป็นหนี้แล้วจัดการยังไง” ได้ฟรี!!! >> คลิกที่นี่
บทความที่เกี่ยวข้อง