ถึงเดือนเมษายนทีไร หลายคนนั่งนับวันรอที่จะได้ไปเที่ยวในเทศกาลสงกรานต์ หลายคนรอวันที่จะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ ดีใจที่ประเทศไทยกำหนดให้วันที่ 13 เมษายน เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” ร่วมแสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่ เพราะผู้สูงอายุเปรียบเสมือนร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พักใจ และกำหนดให้วันที่ 14 เมษายนเป็นวันครอบครัว ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจที่คนไทยส่วนใหญ่ยังรักและระลึกถึงพระคุณของพ่อแม่กันอยู่ อยากตอบแทนดูแลพ่อแม่ด้วยความรัก ไม่ได้มีความคิดว่าการดูแลพ่อแม่เป็นห่วงโซ่กตัญญูที่สร้างภาระให้กับลูกต้องมาดูแลพ่อแม่เหมือนอย่างกระแสสังคมบางส่วนที่พบเห็นตามสื่อโซเชียลในช่วงที่ผ่านมา
การกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ แน่นอนนะ พ่อแม่ก็เฝ้ารอลูก ลูกก็เฝ้าที่จะเจอพ่อแม่ หลายคนเตรียมของขวัญต่างๆ มากมายให้พ่อแม่ แต่มีหลายกรณีที่พบก็คือ ไปพบว่าคุณพ่อคุณแม่ท่านเจ็บป่วยหนักมาก แต่ไม่ยอมหาหมอ ไม่ยอมบอกลูก จะว่าไม่มีเงินบางกรณีก็ใช่ แต่หลายกรณีพ่อแม่มีเงิน แล้วทำไมไม่หาหมอ
เรื่องนี้น่าจะหาคำตอบได้จากรายงานวิจัยหนึ่งได้กล่าวถึงความกังวลของคนสูงวัย ดังนี้
พ่อแม่ส่วนใหญ่เป็นคนสูงวัย มักจะมีรายได้น้อย ไม่ว่าจากการเกษียณอายุ หรือปัญหาสุขภาพ ทำให้มีความกังวลด้านการเงินอยู่ในใจ จะใช้เงินในสิ่งที่จำเป็น แต่สิ่งที่รักมากที่สุด คือ ลูก พวกเราคงเคยมีประสบการณ์กับตัวเองนะ พ่อแม่เจ็บป่วย ถ้าไม่หนักหนาสาหัสจริงๆ จะไม่ยอมหาหมอ เสียดายเงิน แต่ถ้าลูกไอแค๊กๆ 2 ที แทบจะอุ้มไปหาหมอทันทีกลัวว่าลูกจะเป็นอะไร ไม่คิดเสียดายเงินเลย
พฤติกรรมนี้ทำให้หลายครั้งกว่าพ่อแม่จะยอมหาหมอ ก็ป่วยเกินเยียวยา เสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ลูกเองก็เสียใจที่เสียร่มโพธิ์ร่มไทรไป
ในฐานะลูก เราจะทำอย่างไรให้พ่อแม่ท่านเวลาเจ็บป่วย ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินไปหาหมอดีล่ะ
วิธีแรกเลย ก็คือ ลูกควรทำให้พ่อแม่สบายใจว่ามีฐานะการเงินที่ดี พ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ก็ช่วยได้ระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะความเป็นพ่อเป็นแม่ยังไงก็ห่วงลูกอยู่ดี
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยเราเรื่องค่ารักษาพยาบาลสำหรับคุณพ่อคุณแม่ได้ ก็คือ การซื้อประกันสุขภาพให้คุณพ่อคุณแม่ท่านเลย ซึ่งนอกจากได้สร้างสวัสดิการรักษาพยาบาลให้พ่อแม่ เจ็บป่วยจะได้หาหมอไม่ต้องเสียดายเงิน ยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการซื้อประกันสุขภาพให้คุณพ่อคุณแม่อีก
ตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 162) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการ เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันสุขภาพพ่อแม่ของผู้มีเงินได้ รวมทั้งพ่อแม่ของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ได้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้เท่าที่ผู้มีเงินได้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันสุขภาพ ให้แก่บริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัยที่ประกอบกิจการในราชอาณาจักร เพื่อเอาประกันภัยสำหรับพ่อแม่ของผู้มีเงินได้ รวมทั้งพ่อแม่ของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ ตามจำนวนเบี้ยประกันภัยที่จ่ายจริงแต่ไม่เกินหนึ่งหมื่นห้าพันบาท ในปีภาษีนั้น โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้
ตัวอย่างเช่น มีพี่น้อง 3 คน ทั้ง 3 คนเฉลี่ยเงินเท่าๆกันซื้อประกันสุขภาพให้คุณพ่อหรือคุณแม่ โดยชำระเบี้ยรวมกัน 15,000 บาท ทุกคนก็จะสามารถยกเว้นเงินได้สำหรับเบี้ยประกันสุขภาพที่ซื้อให้พ่อแม่นี้เท่ากับคนละ 5,000 บาท
สำหรับรูปแบบของการประกันสุขภาพที่กรมสรรพากรให้สิทธิประโยชน์ ก็จำกัดเฉพาะ
(1) การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะ เนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ
(2) การประกันภัยอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก
(3) การประกันภัยโรคร้ายแรง (Critical Illnesses)
(4) การประกันภัยการดูแลระยะยาว (Long Term Care)
สำหรับหลักฐานที่จะใช้ยื่นกรมสรรพากร ก็คือใบเสร็จรับเงินหรือหนังสือรับรองจากบริษัทประกันชีวิตหรือบริษัทประกันวินาศภัย โดยต้องมีข้อความอย่างน้อยดังต่อไปนี้
(1) ชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวประชาชนของผู้เอาประกันภัย (ชื่อพ่อหรือแม่)
(2) ชื่อ และนามสกุลของผู้จ่ายเบี้ยประกันภัย (ชื่อลูกทุกคนที่ร่วมกันจ่ายเบี้ย)
(3) ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้รับประกันภัย
(4) จำนวนเบี้ยประกันภัย สำหรับการประกันสุขภาพ (แยกตามชื่อลูกที่จ่ายเบี้ยเลย คนไหนจ่ายเท่าไหร่)
(5) จำนวนเงินที่มีสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
เพราะฉะนั้น อย่าลืมบอกบริษัทประกันออกใบเสร็จรับเงินให้ถูกด้วยนะ ไม่งั้นจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีอะไรเลย
แต่ลำพังประกันสุขภาพอย่างเดียวก็ไม่เพียงพอ เพราะอัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลสูงถึงประมาณ 9%/ปี หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ ค่ารักษาพยาบาลจะแพงขึ้น 2 เท่าทุก 8 ปี แต่ความคุ้มครองของประกันสุขภาพจะคงที่ตามทุนประกันที่เราซื้อ ดังนั้น เราจึงควรมีการลงทุนเพื่อสร้างเงินทุนสำรองสำหรับค่ารักษาพยาบาลส่วนที่เกินกว่าความคุ้มครองของประกัน มีการลงทุนหลายๆ ทางเลือก อย่างเช่น กองทุนรวม หุ้น หุ้นกู้ สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ ที่เราสามารถเลือกให้ตอบโจทย์ชีวิตเราได้
บทความที่เกี่ยวข้อง