มีลูก 1 คน ไม่จนไป 10 ปี แถมแฮปปีกว่าเดิม

โดย SET
63-how-to-raise-a-child-while-remaining-happy-and-being-financially-secured
Highlight

พ่อแม่สามารถวางแผนออมเงินเพื่ออนาคตที่ดีให้กับลูกได้ด้วย 4 ขั้นตอน คือ การตั้งเป้าหมายการมีลูก การสำรวจค่าใช้จ่าย การจัดสรรเงินออมและเงินลงทุน รวมทั้งการอัปเดตสถานการณ์และเปลี่ยนแผนการเงินให้สอดล้องกับสภาพเศรษฐกิจ

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าหากมีลูกแล้วจะสามารถเลี้ยงดูได้อย่างดีมั้ย?”
“ถ้าลูกของเราโตขึ้นและต้องใช้ชีวิตท่ามกลางสังคมที่ ใช้จ่ายเงินอย่างฟุ้งเฟ้อจะทำอย่างไร?”

คู่สามีภรรยาหลายคู่ตัดสินใจว่าจะยังไม่มีลูก เพราะเมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกน้อยได้ลืมตามาดูโลกจนถึงวันที่เรียนจบปริญญาตรี อย่างน้อยก็เป็นเวลามากกว่า 20 ปีแล้ว ก็จะพบว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอัตราเงินเฟ้อ แต่ถ้ามัวรีรอให้พร้อม ก็อาจจะสายเกินไปอีก

จะดีกว่ามั้ย ถ้าเริ่มต้นวางแผนเลี้ยงดูลูกตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตคู่ด้วย “4 ขั้นตอน วางแผนออมเงินเพื่อลูก”
1
ตั้งเป้าหมายการมีลูก

กำหนดว่า ต้องการมีลูกจำนวนกี่คนและเมื่อไหร่ โดยพิจารณาความสามารถในการหารายได้และความมั่นคงในหน้าที่การงาน เพื่อประเมินว่า จะรับภาระการเลี้ยงดูลูกทุกคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้หรือไม่

2
สำรวจค่าใช้จ่าย

ศึกษาค่าใช้จ่ายตลอดช่วงชีวิตที่ลูกยังอยู่ภายใต้การดูแลของเราจนกว่าจะเติบใหญ่พอที่จะดูแลตัวเองได้ เช่น

63-how-to-raise-a-child-while-remaining-happy-and-being-financially-secured_01
3
จัดสรรเงินออมและเงินลงทุน

เริ่มหักเงินออมและเงินลงทุนออกจากรายได้ของสามีภรรยา แล้วลงมือวางแผนการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้สอดคล้องกับช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินในแต่ละเป้าหมาย เช่น

63-how-to-raise-a-child-while-remaining-happy-and-being-financially-secured_02

ตัวอย่าง : เป้าหมาย คือ ออมเงินเป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีของลูก เป็นเงิน 1,000,000 บาท ในอีก 18 ปีข้างหน้า
แผนออมเงิน :

  • วิธีที่ 1 : ออมเงินในกองทุนรวมหุ้น
    เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่รับความเสี่ยงได้สูง เพียงแค่แบ่งเงินประมาณเดือนละ 2,300 บาท ไปลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ที่ลงทุนโดยอ้างอิงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (Index Fund) หรือกองทุนรวมหุ้นประเภทต่าง ๆ ที่มีผลตอบแทน ย้อนหลังเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 8% ต่อปี เมื่อครบ 18 ปี ก็จะมีเงินทุนการศึกษาก้อนใหญ่นี้ให้ลูกได้สบาย ๆ

    หมายเหตุ: คำนวณแบบทบต้นต่อปี อ้างอิงผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นแบบอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ตั้งแต่ปี 2554 – 2564 อยู่ที่ 8.32% ต่อปี

  • วิธีที่ 2 : ออมเงินในประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์
    เหมาะสำหรับพ่อแม่ที่ไม่อยากลงทุนแบบเสี่ยงเกินไปและต้องการวางแผนรับมือกับความไม่แน่นอนของชีวิต ควรศึกษาเงื่อนไขประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ของแต่ละบริษัท โดยเลือกให้ตรงกับระยะเวลาที่ต้องการใช้เงินและความสามารถในการออมให้มากที่สุด เพราะหากเราเป็นอะไรไปหรือทุพพลภาพถาวรจนขาดรายได้ ก็ยังสบายใจว่าจะได้รับเงินก้อนจากทุนประกันที่มี มาส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือจนจบได้ ที่สำคัญคือ วิธีนี้จะได้ประโยชน์ถึง 3 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 คุ้มครองชีวิตพ่อแม่ด้วยทุนประกัน ต่อที่ 2 ได้รับเงินออมคืนเมื่อครบกำหนดสัญญา และต่อที่ 3 ได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีค่าเบี้ยประกันชีวิตตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีอีกด้วย
4
อัพเดทสถานการณ์และปรับแผนการเงิน

เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสถานะการเงินของเรา ซึ่งจะส่งผลดีต่อการพัฒนาศักยภาพของลูกเราในอนาคต เช่น ลูกมีพรสวรรค์ด้านดนตรี ก็ส่งเสริมให้เรียนพิเศษเพิ่มเติม โดยตั้งเป้าหมายและวางแผนการออมเงินเพื่ออนาคตของลูกเพิ่มเติมอีกด้านหนึ่ง

 

“มีลูกเมื่อพร้อม” ทำได้ง่าย ๆ แค่เริ่มวางแผนบุตรตั้งแต่แต่งงาน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น และแน่นอนว่าแผนที่ดี ย่อมสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกเรา พร้อม ๆ กับความสุขในครอบครัวได้

สำหรับใครที่สนใจเรียนรู้แนวทางวางแผนการเงินเพื่อเป้าหมายชีวิต และการใช้เครื่องมือทางการเงินต่าง ๆ ในการสำรวจสถานะทางการเงินของตนเอง สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมผ่าน e-Learning หลักสูตร “WMD1002 : ชีวิตดี เริ่มต้นที่การวางแผน” ฟรี!!! >> คลิกที่นี่



บทความที่เกี่ยวข้อง