แก่ขึ้นอีกปี เกษียณเร็วอีกปี ยิ่งวางแผนเร็วยิ่งดี

โดย สาธิต บวรสันติสุทธิ์ นักวางแผนการเงิน CFP
SS Article Banner_1200x660-Retirement Plan

นานมากแล้วทุกครั้งที่ใกล้ปลายปี แทนที่จะมีความสุขได้หยุดยาวพักผ่อนปลายปี กลับเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีความสุขเอาเลย เพราะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมาก ภารกิจที่ทำงาน ยังขาดอีกเยอะที่ต้องทำให้สำเร็จ ภารกิจชีวิตยิ่งแล้วใหญ่ เวลาทำงานยิ่งเหลือน้อยลงทุกปี แปลว่าเวลาหาเงินยิ่งน้อยตามไปด้วย แต่ช่วงเวลาเกษียณอายุกลับยาวมากขึ้น (ถ้าแก่ตาย) ทั้งเตรียมออมเงิน ลงทุน เงินก็ไม่งอกอย่างที่หวังเลย แต่ผลตอบแทนการลงทุนที่ผ่านมากลับติดลบลงซะอีก กำไรที่เคยได้กลับลดน้อยลง แต่เงินเฟ้อที่อยากให้ลด ก็กลับไม่ลด ผีซ้ำด้ามพลอยตามกฎ Murphy จริงๆ

สำหรับคนที่ต้องการวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณจะได้มีเงินใช้ เราควรจะวางแผนอย่างไรดี วิธีการก็เหมือนกับการวางแผนงานทั่วไป คือตามหลัก Grow

Goal

เป้าหมายคืออะไร ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอใช้ ณ อายุเกษียณเท่าไร

Reality

ปัจจุบันเราอยู่ที่จุดไหน มีเงินหน้าตักสำหรับเกษียณเท่าไหร่ อายุเท่าไหร่ ฯลฯ

Option
ทางเลือกที่จะเดินทางไปสู่ความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนออมต่องวด (จะเป็นงวดละเดือน หรือวัน หรือปี แล้วแต่สะดวก สำคัญ คือ วินัย กำหนดอย่างไร ทำอย่างนั้น) การเพิ่มผลตอบแทนของเงินออม การเพิ่มระยะเวลาการออมเพื่อเกษียณ (คือ นับจากวันนี้ไปจนถึงวันเกษียณกี่ปี)
Will
แปลตรงๆ คือ
  • “จะทำ” มองได้ 2 อย่าง คือ สิ่งที่เราจะทำต่อไปคือ “อะไร” และ
  • “ความตั้งใจ” คือ แรงผลักดันที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมาย เพราะการออมเงินเพื่อเกษียณเป็นการออมที่เป้าหมายทางการเงินใหญ่มาก เอาง่ายๆ 40 ปีในวัยทำงาน เราเหนื่อยหาเงิน เงินยังไม่ค่อยพอใช้ ตอนวัยเกษียณอาจจะกินเวลา 20-30 ปี ใกล้เคียงกับวัยทำงานเลย รายได้ไม่ค่อยมี แต่ยังต้องใช้เงินอยู่ แถมอาจต้องใช้เงินมากขึ้น เพราะของแพงขึ้น โดยเฉพาะค่ารักษาพยาบาล ถ้าเราไม่มีความตั้งใจที่มากพอ โอกาสสำเร็จมีน้อยมากๆ

เมื่อรู้หลักคิดแล้ว ทำไงต่อ เราก็มาเริ่มกันที่เป้าหมายของเงินที่ควรมีสำหรับวัยเกษียณนะ เมื่อหลายปีก่อน ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยทำวิจัยการใช้เงินของคนไทยก่อนและหลังเกษียณ พบว่า หลังเกษียณเราจะใช้เงินประมาณ 70% ของค่าใช้จ่ายก่อนเกษียณ (ตามตาราง) ดังนั้น หากเราเป็นคนที่มีรายได้พอดีๆ กับรายจ่าย หลังเกษียณเราก็ควรมีรายได้อย่างน้อยเท่ากับ 70% ของรายได้ก่อนเกษียณ (อัตราทดแทนรายได้) ซึ่งอัตราทดแทนรายได้ที่เหมาะสมสำหรับคุณภาพชีวิตหลังเกษียณเหมือนกับคุณภาพชีวิตก่อนเกษียณ ก็คือ 70% ของรายได้ก่อนเกษียณ

Retirement Plan attachment 1

แต่เป้าหมาย 70% อาจจะยากเกินไปสำหรับคนที่ไม่เคยมีการวางแผนเพื่อวัยเกษียณมาก่อน ฝ่ายวิจัยและยุทธศาสตร์ สำนักงาน ก.ล.ต. จึงได้ทำวิจัยหัวข้อ “เงินได้เลี้ยงชีพหลังเกษียณจากการออมผ่านแหล่งเงินออมระยะยาว” โดยใช้อัตราทดแทนรายได้ร้อยละ  50*  เป็นดัชนีชี้วัดความเพียงพอ และประมาณอัตราทดแทนรายได้ที่ผู้ออมจะได้รับภายหลังเกษียณอายุภายใต้กรณีการออมต่าง ๆ  เพื่อเป็นแนวทางการวางแผนการออม โดยกำหนดผลตอบแทนต่อปีของหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ ตามข้อมูลจริง ณ ขณะนั้น คือ

ตลาดเงินและตราสารหนี้ใช้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนรวมในสามไตรมาสแรกของปี   2545  ซึ่งเท่ากับร้อยละ  2.06 และร้อยละ  3.85  ตามลำดับ

ส่วนตราสารทุนใช้ค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนต่อปีสำหรับการลงทุนทุกช่วง  20   ปี  มีค่าร้อยละ  11.32  สำหรับการลงทุนระยะยาวตั้งแต่ปีที่เปิดตลาดจนถึงปี 2545 ซึ่งเท่ากับ 27 ปี โดยศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออัตราทดแทน ดังนี้

  1. อัตราการออม
  2. ประเภทตราสารการลงทุน
  3. ระยะเวลาการออม

โดยกำหนดอัตราออมในช่วงร้อยละ 3 - 51 จำนวนปีของการออมแบ่งเป็น  3 กรณี  คือ  ออม 10 ปี 20 ปี และ 30 ปี   ในขณะที่นโยบายลงทุนแบ่งเป็น 3 กรณี  คือ  นโยบายลงทุนตราสารทุน  ตราสารหนี้  และตลาดเงิน  ภายใต้ข้อสมมติฐานว่า  จำนวนปีที่ผู้ออมจะใช้เงินออมหลังเกษียณอายุเท่ากับ 25  ปี  และการบริหารเงินออมในส่วนที่ยังไม่ใช้หลังเกษียณอายุเป็นแบบลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำผลการศึกษาปรากฏตามตาราง (ช่องสีเหลือง คือ บรรลุเป้าหมาย มีอัตราทดแทนรายได้ตั้งแต่ร้อยละ 50 ของรายได้ก่อนเกษียณ

Retirement Plan attachment 2

จากตารางพบว่า

  • ผู้ออมระยะเวลา 10   ปี   ไม่สามารถจะบรรลุเป้าหมายอัตราทดแทนรายได้ร้อยละ 50  ในทุกกรณีการออมที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์   
  • ผู้ออมระยะเวลา 20 ปี มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายที่กำหนด  แต่มีข้อจำกัดระหว่างการเลือกนโยบายลงทุน  และอัตราออม กล่าวคือ  ถ้าผู้ออมต้องการออมในอัตราประมาณร้อยละ 21  ผู้ออมต้องเลือกนโยบายลงทุนตราสารทุนซึ่งมีความเสี่ยงต่อการลงทุนสูง แต่ถ้าผู้ออมเลือกนโยบายลงทุนตราสารหนี้ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการลงทุนต่ำ  ผู้ออมต้องออมในอัตราที่สูงมากร้อยละ 45    
  • ผู้ออมที่มีระยะเวลาออม 30 ปี  มีโอกาสที่จะบรรลุอัตราทดแทนรายได้ที่เป็นเป้าหมายในหลายทางเลือก    ซึ่งทำให้ผู้ออมมีความยืดหยุ่นในการเลือกอัตราออม  และ/หรือนโยบายลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง ในกรณีที่ผู้ออมเลือกนโยบายลงทุนตราสารทุน  อัตราออมที่ต้องออมจะอยู่ในระดับต่ำมากที่ร้อยละ 9  และในกรณีที่ผู้ออมเลือกนโยบายลงทุนตราสารหนี้ อัตราออมที่ต้องออมยังคงอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากที่ร้อยละ  27 นั่นคือ ผู้ออมที่วางแผนการออมในระยะยาว  30  ปี จะเป็นกลุ่มที่สามารถบรรลุเป้าหมายอัตราทดแทนรายได้ที่วางไว้ง่ายกว่า  และมีความแน่นอนมากกว่า
Tips

จากผลการศึกษา สรุปได้ว่า

  • ยิ่งออมเร็ว ยิ่งมีโอกาสสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น สรุปคือ “ออมก่อน รวยกว่า” ดังนั้น ไม่ต้องถามเริ่มออมเพื่อเกษียณเมื่อไหร่ดีที่สุด เพราะคำตอบมีคำตอบเดียว คือ “เริ่มวันนี้ดีที่สุด”
  • ยิ่งกลัวความเสี่ยงมากเท่าไหร่ ยิ่งเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเราไม่กล้าเสี่ยง โอกาสที่เราจะบรรลุเป้าหมายก็ยิ่งน้อยลง แต่การเสี่ยงโดยไม่มีความรู้ เสี่ยงกว่าอีก ดังนั้นควรหาความรู้ก่อนการลงทุน หากไม่มีความรู้จริงๆ การลงทุนผ่านกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่ดี


บทความที่เกี่ยวข้อง