ฐานข้อมูลเครดิต SME เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน

โดย SET
Banner SME_2023
Highlight

SET Note ฉบับที่ 5/2566 : ฐานข้อมูลเครดิต SME เพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในตลาดทุน จัดทำโดย ฝ่ายวิจัย ตลาดหลักทรัพย์แห่งเทศไทย

บทสรุป

  • SME ไทยมีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจเป็นอย่างมากทั้งในด้านจำนวนผู้ประกอบการ การจ้างงาน สัดส่วนต่อ GDP และการส่งออก อย่างไรก็ดี SME ส่วนใหญ่มักประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนโดยเฉพาะจากสถาบันการเงินในระบบ ซึ่งปัจจัยหลักอันหนึ่งที่ช่วยให้ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้คือ SME ต้องมีข้อมูลที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือ มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินได้ ทำให้ข้อมูล Credit Rating มีความสำคัญ แต่การที่แหล่งเงินทุนจะเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ อาจต้องมีหน่วยงานที่จัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating Agency และหน่วยงานที่เก็บข้อมูล ได้แก่ Credit Database/ Credit Bureau เป็นต้น
  • ในการจัดทำฐานข้อมูลด้านเครดิตของ SME ในหลายๆ ประเทศ พบว่านอกจากรูปแบบ Private Credit Bureau ที่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศพัฒนา และ Public Credit Bureau ที่มักมีหน่วยงานภาครัฐจัดให้มีตัวกลางในการรวบรวมข้อมูลด้านเครดิตของทั้งระบบแล้ว ยังมีศูนย์กลางข้อมูลด้านเครดิตอีกรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่า Credit Risk Database (CRD) ซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นในปี 2544 และได้จัดตั้งคล้ายกันในฟิลิปปินส์ในปี 2564 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อจัดเก็บข้อมูลและจัดทำ Credit Rating สำหรับ SMEs ช่วยให้สถาบันการเงินมีข้อมูลใช้ประกอบการตัดสินใจในการให้กู้ยืมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนด้วยต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมตามความเสี่ยง
  • สมาคมข้อมูลความเสี่ยงด้านเครดิต หรือ CRD Association ในประเทศญี่ปุ่น ใช้ระบบการรับเข้าเป็นสมาชิกโดยประกอบด้วย บริษัทผู้รับประกันเงินกู้ (Credit Guarantor) ซึ่งเป็นสมาชิกหลัก รวมถึงสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชน (ส่วนใหญ่เป็นธนาคารพาณิชย์เอกชน) และผู้ให้บริการ Credit Rating ทั้งนี้ฐานสมาชิกของ CRD ได้ขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนฐานข้อมูล CRD ได้กลายเป็น Big Data ที่สำคัญฐานหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งหลักการจัดทำ Credit Rating Model เริ่มจากการนำข้อมูลของ SMEs ที่ได้มาจากสมาชิกซึ่งมีทั้ง 1) ข้อมูลทางการเงิน เช่น รายการในงบดุล และงบกำไรขาดทุน รวมถึงอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญต่างๆ 2) ข้อมูลที่ไม่ใช่ด้านการเงิน เช่น ข้อมูลที่ระบุว่าเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์หรือไม่ เคยล้มละลายหรือไม่ และ ปีเกิดของ CEO เป็นต้น จากนั้นนำข้อมูลเหล่านี้มาผ่านเทคนิคที่ทำให้ไม่สามารถระบุตัวตนได้ แล้วทำการประมวลผลด้วยแบบจำลอง Logit Regression ซึ่งจะได้ผลลัพธ์เป็นโอกาสของการผิดนัดชำระหนี้ หรือ Probability of Default (PD) และ Credit Rating สำหรับ SMEs ออกมา
  • ผลการประเมินความน่าเชื่อถือของ SME สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น แหล่งทุนสามารถนำไปใช้ประกอบการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หน่วยงานค้ำประกันอาจนำไปใช้ประกอบการกำหนดค่าธรรมเนียมและวงเงินค้ำประกัน รวมทั้ง coverage ratio ผู้ประกอบการ SME นำไปใช้พัฒนาประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของตนโดยการพัฒนาปัจจัยที่ยังได้คะแนนน้อย เพื่อเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อในอนาคต ภาครัฐอาจนำไปใช้ในการกำหนดมาตรการและความช่วยเหลือได้ตรงตามจุดอ่อนและจุดแข็งของ SME และในส่วนของตลาดทุน การมีข้อมูลเครดิตและ Credit Rating ของ SMEs จะส่งเสริมให้เกิดผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ (Securitization) และ Pooled Loan ของ SME เช่น Collateralized Loan Obligation หรือ CLO ช่วยเปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนในผลิตภัณฑ์เครดิตผ่านกองทุนประเภทต่างๆ รวมทั้ง Private Asset ได้ในต่างประเทศ

อ่าน SET Research Paper ฉบับเต็ม >> คลิกที่นี่

“SET…Make it Work for Everyone”

แท็กที่เกี่ยวข้อง: SETSOURCE setnote sme smes


บทความที่เกี่ยวข้อง