50 ปี ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยืนหยัดใน “Integrity and Principle”

โดย SET
Q-ดร.ภากร-ปีตธวัชชัย

50 ปี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยืนหยัดใน “Integrity and Principle”

ตลาดทุนไทยเติบโตอย่างรวดเร็วและมีส่วนสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการระดมทุนสูงถึงประมาณ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐ 10 ปี ติดต่อกัน ส่งผลให้ตลาดทุนไทยเป็นอันดับหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และติดใน 5 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ ยังเป็นตลาดทุนที่มีสภาพคล่องดีที่สุดในอาเซียนและติดอันดับต้นของเอเชีย จากการที่มีบริษัทเข้ามาจดทะเบียนจำนวนมากและนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทย

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ลงทุนในโครงสร้างตลาดทุน พัฒนาระบบต่าง ๆ ให้เป็นระบบดิจิทัลที่มีความทันสมัย มีความเชื่อมโยงกับภายนอกประเทศ เพื่อให้การเข้าถึงตลาดทุนเป็นเรื่องง่าย และทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้อย่างเต็มที่ ตามวิสัยทัศน์ของเรา “To Make Capital Market ‘Work’ for Everyone” จากฝ่ายที่ต้องการระดมทุนทั้งธุรกิจขนาด ใหญ่ กลาง เล็ก เพื่อขยายกิจการและยังสามารถใช้เครื่องมือในตลาดทุนทำธุรกรรมอื่นได้อีกมาก ปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนไทย 860 บริษัท มีรายได้อย่างต่ำในต่างประเทศประมาณ 38% แสดงให้เห็นว่าตลาดทุนเป็นหนึ่งเสาหลักที่จะทำให้ภาคธุรกิจ หรือภาค real sector เติบโตได้

ส่วนนักลงทุนไทยทั้งใหญ่ กลาง เล็ก สามารถลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทจัดการกองทุน หรือระบบออนไลน์ ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง แต่ลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น  ทั้งสินทรัพย์ในประเทศ หรือสินทรัพย์ต่างประเทศได้ทั่วโลก และไม่ใช่เฉพาะสินทรัพย์แบบเดิมเท่านั้น ยังครอบคลุมไปถึง สินทรัพย์รูปแบบใหม่ เช่น Depository Receipt, ETF ไปจนถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย ที่สำคัญสามารถลงทุนเป็นเงินบาท ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

"เราต้องทำให้ตลาดทุนง่ายต่อการเข้าถึง โดยจุดเด่นของการระดมทุนยุคใหม่
1. เขาอยากทำเมื่อไรก็ได้ 2.  ใช้เวลาไม่นานในการระดมทุน 3. ไซซ์ใหญ่ กลาง เล็ก ทำได้หมด
ทำยังไงให้ตลาดทุนตอบโจทย์พวกนี้ได้"

ดังนั้น การพัฒนาตลาดทุนอย่างยั่งยืน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังต้องมุ่งพัฒนาด้านคุณภาพ ส่งเสริมภาคธุรกิจที่ระดมทุน ทำธุรกิจอย่างยั่งยืนมากขึ้น บนหลัก ESG (Environment, Social, Governance) คำนึงถึง สิ่งแวดล้อม สังคมและบรรษัทภิบาล และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงจากหลายปัจจัย ทั้งความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และภาวะโลกร้อนที่จะกระทบการทำธุรกิจในประเทศ และความสามารถในการทำกำไรให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน

ด้วยตลาดทุนทั่วโลกปัจจุบันเชื่อมโยงกัน เป็นความท้าทายและความเสี่ยงในการลงทุนที่เพิ่มขึ้น การเชื่อมโยงข้อมูลมีผลต่อการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความรู้ การให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่นักลงทุน ในการวิเคราะห์ บริหารความเสี่ยงกับโอกาส เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุนได้อย่างรวดเร็ว รอบด้านมากขึ้น

โฟกัส 3 เป้าหมาย

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พวกเรามีความภูมิใจในสิ่งที่เราได้ทำหลาย ๆ เรื่อง ที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยได้ประโยชน์จากการใช้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ว่าจะเป็นการระดมทุนของบริษัทจดทะเบียนในทุกกลุ่ม เรามี SET, mai, LiVE Platform รองรับ ทำให้บริษัทเล็กกลายเป็นบริษัทใหญ่ได้ มีบริษัทที่เติบโตจาก mai ไป SET ด้วยมูลค่าตลาด (Market Capitalization) 1 ล้านล้านบาท ขณะที่ใน LiVE Platform มี 3 บริษัท ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาด บริษัทละ 500 ล้านบาท จากวันที่เข้ามาจดทะเบียนทั้ง 3 บริษัท ระดมทุนได้รวมกัน 250 ล้านบาท

สำหรับนักลงทุน มีนักลงทุนบุคคลจำนวน 5 ล้านกว่าบัญชี เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.5 ล้านบัญชี คิดเป็นจำนวนคนประมาณเกือบ 3 ล้านกว่าคน เพิ่มขึ้น 2 เท่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ที่สำคัญสามารถลงทุนได้หลากหลายสินทรัพย์และหลากหลายประเทศ  ทำให้สามารถกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น

ในด้านบทบาทของผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ฯ มีด้วยกัน 3 เรื่อง

  1. ทำให้ตลาดทุนไทยเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวัดจากความสามารถในการทำกำไรของบริษัท
  2. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้ตลาดเติบโตขึ้น ปัจจุบันตลาดทุนมีมูลค่าตลาด 20 ล้านล้านบาท ปริมาณการซื้อขาย 50,000-60,000 ล้านบาท/วัน
  3. สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งบริษัทจดทะเบียน นักลงทุน ต้องทำให้นักลงทุนมีความรู้ทางการเงิน มีความเข้าใจเรื่องการลงทุน เลือกลงทุนได้ถูกต้อง ลงทุนในแต่ละช่วงอายุได้เหมาะสมกับตัวเอง ด้านบริษัทจดทะเบียนก็เช่นกัน การดำเนินธุรกิจให้มีผลกำไรแล้ว ก็ต้องทำธุรกิจอย่างยั่งยืน

พร้อมปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์

ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ตลาดทุนไทยประสบกับความท้าทายมากมาย สิ่งสำคัญที่สุดที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องคงไว้คือ

  1. ความซื่อตรงและมีหลักการ (Integrity and Principle) ความซื่อตรงจะสร้างความน่าเชื่อให้กับตลาด โดยมีหลักการที่มั่นคง ชัดเจน เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์ จะทำให้ตลาดทุนคงอยู่ได้
  2. ปัจจุบันตลาดทุนมีความผันผวน ไม่แน่นอน มีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามามาก ต้องรักษาความสมดุลระหว่างสิ่งใหม่ๆ กับหลักเกณฑ์ที่จะต้องมีความชัดเจน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องสำรวจและทบทวนแนวปฏิบัติ กฎเกณฑ์ กฎระเบียบที่มีเพื่อปรับให้เหมาะกับสถานการณ์ รวมไปถึงการเปิดข้อมูลด้านต่าง ๆ ให้สาธารณชนเข้าถึงมากขึ้น เพราะกฎ ระเบียบ ไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่การเปิดข้อมูล จะทำให้ทุกคนตระหนักได้ถึงความเสี่ยงว่ามากขึ้นหรือน้อยลง ตรงจุดไหนและอย่างไร
  3. นำเสนอการปรับเปลี่ยนต่อหน่วยงานกำกับดูแล เพื่ออนาคตจะได้รองรับกับความเปลี่ยนแปลงได้ดีมากขึ้น

ในอนาคตการเปลี่ยนแปลงยังคงเกิดขึ้นตลอด ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความพร้อมที่ดีขึ้น เป็นองค์กรที่ Dynamic ขึ้น มีการปรับตัวรวดเร็วขึ้น

“ผมคิดว่าเหตุการณ์ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ย้ำว่าเราทำธุรกิจเหมือนเดิมไม่ได้
ต้องปรับตัว ใช้ข้อมูลให้มากขึ้น ดูสถานการณ์ให้เร็วขึ้น แล้วก็มี solutions ที่เหมาะสมให้มากขึ้น
solutions ที่เป็น One size fit all ใช้ไม่ได้แล้ว ต้องเป็น solutions ที่่ใช้ข้อมูล data มาวิเคราะห์
ว่าใน solution แต่ละแบบ ข้อมูลสิ่งต่าง ๆ นี้ ควรจะต้องแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อย่างไร
ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำคนเดียวไม่ได้
ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนจะต้องปรับตัวด้วยกันทั้ง ecosystem”

ดังนั้น ความท้าทายในอนาคตจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูล ต้นเหตุของปัญหา แนวทางแก้ไข และที่สำคัญงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่สามารถทำได้คนเดียว ต้องทำร่วมกับ  stakeholder  ฉะนั้น partnership มีความสำคัญมาก ต้องทำให้พันธมิตร ของเราเข้าใจว่าทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ  stakeholder ได้ประโยชน์ร่วมกัน และทำให้สิ่งที่วางแผนไว้ประสบความสำเร็จได้

อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้จากหนังสือที่ระลึกตลาดหลักทรัพย์ฯ  ครบรอบ 50 ปี ที่ห้องสมุดมารวย
 


บทความที่เกี่ยวข้อง