ประเทศไทยมีเรื่องกังวลใจก้อนโต เรื่อง “หนี้สาธารณะ” ตามที่รู้กัน เหตุเพราะใช้มากกว่าเก็บ นำเงินในอนาคตมาใช้ จึงเป็นหนี้ และมีเงินเก็บ เงินออมไม่พอที่จะใช้ชีวิตในบั้นปลาย เงินหมดแต่ยังไม่ตาย ลำบากแน่ ในยุคสังคมสูงวัย อายุยืน อยู่ในโลกนี้นานขึ้น
เชื่อว่า หลายฝ่ายมองเห็นเป็นประเด็นเดียวกัน แต่การลงมือทำ ยังรั้งรอ…จึงหมักหมมปัญหามานานแรมทศวรรษ… น่าเสียดายเวลา ทำให้เราอาจช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน
ข้อมูลที่น่าสนใจ คือ การออมของคนวัยทำงานที่มีรายได้ประจำ จำนวนราว 15 ล้านคน ที่หลายสื่อระบุว่าเป็น “เดอะแบก” คือ จ่ายภาษีเพื่อแบกคนทั้งประเทศกว่า 64 ล้านคน
มีรายงานข้อมูลผ่านการเก็บออมเงิน ด้านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) ชื่อบอกว่า เลี้ยงชีพ ยามแก่เฒ่า หรือทำงานไม่ได้ เริ่มใช้กันเมื่อปี 2530 หรือเมื่อ 38 ปีก่อน
เป็นภาคสมัครใจ คือ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ลูกจ้างจ่าย 2-15 % ต่อเดือนของเงินค่าจ้าง นายจ้างจ่ายสมทบเข้ามาอีก คือ จ่ายทั้งสองฝ่าย รวมเป็นเป็นเงินเก็บของลูกจ้าง-หากจ่ายรวมกันเต็มเพดาน 30% ต่อเดือนเป็นเงินก้อน ที่มอบให้มืออาชีพนำไปบริหาร ให้งอกเงย และรับกลับ ตามเกณฑ์
แต่พบว่า มีลูกจ้างเข้าร่วมในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนี้ เพียง 2.99 ล้านคน หรือไม่ถึง 3 ล้านคน จากกำลังลูกจ้างในระบบ 15 ล้านคน หรือราวร้อยละ 20 ส่วนนายจ้างเข้าร่วมราว 25,444 ราย หรือราวร้อยละ 4 (นายจ้างราว 6 แสนราย)
มีข้อมูลเทียบเคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน อย่างมาเลเซีย ประเทศที่ได้รับเอกราชจากการปกครองของสหราชอาณาจักร ปี 2500 มีการวางรากฐานสำหรับประชากรของเขามาแล้ว เมื่อปี 1949 หรือเมื่อ 76 ปีก่อน และออกกฎหมายเป็นภาคบังคับ ปี 1991 (34 ปีก่อน) ส่งผลให้มีเงินออมในระบบของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ Employees Provident Fund-EPF มีจำนวนลูกจ้างเป็นสมาชิก ราว 16.43 ล้านคน หรือราวร้อยละ 95 และมีนายจ้างเข้าระบบทั้งหมดมากกว่าหกแสนราย
ลูกจ้างในมาเลเซีย เก็บเงินออมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพในอัตราเดียว คือ 11 % ของค่าจ้าง นายจ้างจ่ายสมทบ 12-13 % กลายเป็นเงินก้อนโตที่รัฐบาลต้องบริหารจัดการ เป็นสวัสดิการให้พลเมืองชาวมาเลเซียกว่า 310 พันล้านเหรียญสหรัฐ โตกว่าเมืองไทยราวกว่า 7 เท่า
แถมยังใจดี มาถึงแรงงานต่างด้าวที่เข้าไปทำงานในมาเลเซีย และต้องเก็บ 11% ของค่าจ้าง โดยเมื่อกลับประเทศบ้านเกิดไปแล้ว เงินก้อนที่สะสมไว้นี้ จะส่งกลับตามไปให้อีกด้วย
เงินก้อนโตขนาดนี้ ต้องบริหารด้วยความซื่อสัตย์ มีจรรยาบรรณ มองเห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง กฎหมายบ้านเขาแรง ถึงแรงมาก หากทุจริต โทษประหารชีวิตก็เจอกันมาแล้ว
EPF ของมาเลเซีย มีข้อมูลว่าสัดส่วนการลงทุนภายในประเทศ : ต่างประเทศ คือ 60 : 40 และไม่ลงทุนในดิจิทัล/คริปโต
ที่สำคัญอีกเรื่องคือ ยกเว้นภาษีของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพในทุกกรณี เป็นการวางรากฐานให้พลเมืองชาวมาเลเซีย สมยุคสังคมสูงวัยที่มาก่อนกาล เมื่อ 76 ปีก่อน
สำหรับเมืองไทย เมื่อเห็นตัวอย่างจากประเทศเพื่อนบ้าน จะช่วยเป็นประสบการณ์ ทำนายอนาคตได้เป็นอย่างดี หากยังเป็นภาคสมัครใจ ไม่บังคับ สิ่งเร้าในโลกการค้าเสรี การบริโภคระบบทุนนิยม อาจส่งผลต่อการบริหารเงินของบุคคลต่อการขับเคลื่อนประเทศ ปัจจัยหลัก คือ นโยนบายทางการเมืองที่ไม่นิ่ง ย่อมส่งผลถึงอนาคตของพลเมืองไทยทุกคนเช่นกัน
Disclaimers: บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
บทความที่เกี่ยวข้อง
