ยึดมั่นความโปร่งใส มืออาชีพ คิดถึงประโยชน์ของผู้ที่เกี่ยวข้องและคิดถึงตัวเองทีหลัง

ได้เข้าเริ่มมาทำงานในยุคเริ่มต้นของการก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2518 จนเกษียณในตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาโดยตลอด ตั้งแต่ระบบงานที่เป็น manual จนมาเป็นระบบการทำงานที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ปริมาณการซื้อขายจากวันละ 10 ล้านบาท เวลานี้เป็นแสนล้านบาทต่อวัน การกระจายข่าวสารของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในยุคที่โทรทัศน์วิทยุไม่ออกข่าวให้ ต้องทำทั้งการคำนวณการซื้อขาย ข่าวของบริษัทจดทะเบียน พิมพ์โรเนียวเรียกว่าข่าวหัวแดงหัวม่วง กว่าจะเสร็จก็ 3-4 ทุ่ม แล้วไปหยอดตู้ไปรษณีย์ให้นักข่าว

ช่วงเวลาที่ทำงาน 30-32 ปี ผ่านความท้าทายมาตลอด เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ การเงิน การลงทุน รวมถึงการเมือง ทั้งของโลกและในประเทศ ขณะที่ช่วง 4 ปีของการเป็นกรรมการและผู้จัดการ ยังผ่านเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ ทั้งวิกฤติอ่าวเปอร์เซีย วิกฤติซับไพร์มในสหรัฐ เป็นต้น

สิ่งที่ต้องทำเมื่อเกิดปัญหา คือ ยึดการประสานความร่วมมือ เพราะตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นองค์กรที่อยู่ระหว่างกลาง ทั้งองค์กรที่เข้ามาระดมทุน นักลงทุน หน่วยงานกำกับ ดังนั้น การประสานความร่วมมือ คือ การทำให้ทุกคนมองเห็นเป้าหมายเดียวกัน ทุกปัญหาต้องมีทางออก ถ้ามีการสื่อสารพูดคุยร่วมกันจนเห็นชัดว่าอะไรเป็นเป้าหมายสำคัญของการเดินไปข้างหน้า คือเป็นเป้าหมายของการเป็นตลาดทุนที่เป็นประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

ฉะนั้นหลักคิดในการทำงาน คือ เจอปัญหา ก็ต้องสร้างความร่วมมือร่วมใจ คุยกันให้ตกผลึกว่าเราจะเดินต่อไปอย่างไร ถือได้ว่าที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง ความท้าทายได้ทันต่อเหตุการณ์ และทันต่อความต้องการของผู้เกี่ยวข้องในตลาดทุน

สำหรับงานหลัก ๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทำในช่วงที่ผ่านมา มีเรื่องความยั่งยืน หรือ ESG สำหรับ ESG นั้น เป็นผลต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มงานที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะแรกที่เริ่มทำเรื่อง G “Governance” หรือการกำกับดูแลที่ดีมาตั้งแต่ปี 2520 ให้บริษัทจดทะเบียนต้องมีความโปร่งใส ผู้ลงทุนต้องได้ข้อมูล สมาชิกต้องทำงานเป็นมืออาชีพ จนตลาดหลักทรัพย์ฯ กลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนมากขึ้น จึงคิดถึงการทำเพื่อสังคม เกิดการรวมกลุ่ม CSR Club โดยบริษัทจดทะเบียนที่มีกำลัง ก็ไปช่วยบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กหรือชุมชนที่ขาดโอกาส กลายเป็นสถาบัน CSRI : Corporate Social Responsibility Institute และเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ก็มีมุมมองความยั่งยืน เรื่อง E “Environment” เข้ามา เพราะปัญหาโลกร้อน จนช่วงหลังพัฒนามาต่อเนื่องจนเป็นเรื่อง S “Sustainability”

อีกเรื่องคือ การจัดตั้งตลาดอนุพันธ์ หรือ TFEX ซึ่งเกิดจากในปี 2550 ความสนใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ลดน้อยลงเทียบกับเพื่อนบ้านในภูมิภาค จึงมีการพูดถึงหลักทรัพย์เพื่อการลงทุนประเภทใหม่ ๆ จึงพัฒนา TFEX การลงทุนในทองคำ เพื่อเป็นทางเลือกให้นักลงทุน รวมทั้งการมี ETF (Exchange Traded Fund) เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์การลงทุน ขณะที่ในช่วงปี 2550 ที่ตลาดหุ้นประเทศอื่นเริ่มแปลงสภาพเป็นเอกชน ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ศึกษาในเรื่องนี้ คุยกันหลายปี จนคิดว่าคงปรับเป็นเอกชนเต็มตัวไม่ได้ ก็เริ่มคิดถึงการแยกกองทุนเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งเพื่อทำงานตลาดหลักทรัพย์ฯ แบบเอกชน และกลุ่มหนึ่งเพื่อทำงานวิจัยและพัฒนาตลาดทุน จึงมาเป็นกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน หรือ CMDF ตั้งเป้าหมายให้เป็นกองทุนหรือองค์กรที่ทำงานวิจัยและพัฒนาให้ตลาดทุนก้าวไปข้างหน้าให้ชัดเจน

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือว่าเติบโตมาด้วยดี มีความมั่นคง มีรากฐานที่ดี และอยากให้ผู้บริหารและพนักงานรุ่นต่อ ๆ ไป ยึดมั่นการทำงานด้วยความโปร่งใส ความเป็นมืออาชีพ คิดถึงประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้อง ผู้ลงทุน บริษัทจดทะเบียนและสมาชิกเป็นหลัก คิดถึงตัวเองทีหลัง นี่เป็นหลักการสำคัญที่จะทำให้ผู้คนเชื่อมั่นในการทำงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่ายึดประโยชน์ขององค์กรก่อน ไม่ใช่ประโยชน์สำหรับกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง เป็นตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่จัดสรรและกระจายการใช้ทรัพยากรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งประเทศ เพื่อให้สมกับการเป็นศูนย์กลางตลาดทุน และเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระจายความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับทุกคนในประเทศ