ถ้าเมืองไทยไม่มี growth stories ตลาดทุนไทยจะแข็งแรงน้อยลง

โดย SET
Q-อารักษ์-สุธีวงศ์_0

ถ้าเมืองไทยไม่มี growth stories ตลาดทุนไทยจะแข็งแรงน้อยลง

วิวัฒนาการตลาดทุนไทยมาไกลพอสมควร ทำให้การลงทุน การระดมทุน มีความคล่องตัวมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาเรื่องระบบ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการเข้าถึงตลาดทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทต่าง ๆ ใน TFEX รวมถึงการนำ Depositary Receipt มาจดทะเบียน เพื่อเพิ่มปริมาณผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้มีสภาพคล่องและกิจกรรมสูงขึ้น เพื่อให้ตลาดเติบโตและตอบโจทย์นักลงทุน

“สิ่งที่ยังขาด คือ Growth Stories คือ ขาดปริมาณของบริษัทที่มีคุณภาพสูงในการระดมทุนและเข้ามาจด โดยช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทที่เข้ามาระดมทุนผ่าน IPO น้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น สะท้อนสภาพเศรษฐกิจและตลาดหลักทรัพย์ฯ”

ขณะเดียวกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีบทบาทสำคัญในการให้ความรู้นักลงทุน ปัจจุบันไทยมีนักลงทุน 2.5 - 3 ล้านคน เทียบกับประชากร 70 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 4% ที่มีบัญชีในการลงทุน ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วมีนักลงทุน 10-20% จึงยังมีโอกาสในการขยายขนาดนักลงทุนให้มากขึ้น ขณะที่คนไทยยังมองการลงทุนกับการออมเป็นคนละเรื่องกัน ทั้งที่ความจริงเป็นเรื่องเดียวกันในการสร้างความยั่งยืน และความมั่งคั่ง เป็น personal finance ของแต่ละคนที่ควรสนับสนุนให้คนเข้าใจและเข้าถึงได้มากกว่านี้

“อยากบอกประชาชนทั่วไปที่ยังลังเลเรื่องการลงทุน ว่า ถ้าเป็นระยะยาว การลงทุนในตลาดทุนหรือหุ้น หรือลงทุนอื่น ๆ จะเป็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุด เป็นการยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น แต่ต้องลงทุนด้วยความรู้และมีสติ มีความรู้ความเข้าใจ ซึ่งบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งก็พร้อมที่จะให้ความรู้ความเข้าใจกับนักลงทุนที่ยังไม่คุ้นเคย”

สำหรับมุมมองเรื่องเทคโนโลยีนั้น ส่งผลต่อตลาดทุนทั้งในเชิงบวกและเชิงความท้าทายที่จะเกิดขึ้น ในเชิงบวก คือทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถเข้าถึงได้ ผู้ลงทุนสามารถเทรดเองได้ ขณะที่ speed ของเทคโนโลยีค่อนข้างเร็ว คนใช้เทคโนโลยีได้คล่องจะเข้าถึงตลาดทุนและมีประสิทธิภาพสูงกว่า ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ คงต้องดูเพื่อให้การเข้าถึงเท่าเทียมทั่วถึง ไม่ให้นักลงทุนรายย่อยมีความแตกต่าง

ส่วนบทบาทของ AI สำหรับนักลงทุน สามารถช่วยออกแบบ portfolio ในการซื้อขาย ส่วนตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ใช้ AI ในการตรวจจับพฤติกรรมการเทรดที่ไม่เหมาะสม และหากมองไกลออกไป เทคโนโลยีบล็อกเชน ที่เรียกว่า DLT (Distributed Ledger Technology) หัวใจของมันคือ การเข้ามาทดแทนตัวกลาง แต่คงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะเป็นโครงสร้างที่มีความสำคัญ เป็นโครงสร้างที่ใหญ่ที่จะเข้ามา disrupt ตลาดทุนในอนาคต

“เป็นไปได้มากว่า โลกในอนาคต 10-20 ปีจากนี้ Peer-to-Peer Exchange อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้คนรู้สึกว่าปกติมาก เพราะไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง ไม่มีตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่มีโบรกเกอร์ เข้าใจว่า ขณะนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็กำลังศึกษาเรื่องโครงสร้างพื้นฐานเรื่องบล็อกเชนอยู่ โดยสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ digital asset ที่ทำอยู่บนบล็อกเชน มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งมีลักษณะเป็นคริปโทที่ไม่มีสินทรัพย์หนุนหลัง ส่วนหนึ่งมีสินทรัพย์หนุนหลัง โดยบริษัทที่จะจดทะเบียนในปัจจุบันต้องทำ IPO (Initial Public Offering) ต่อไปก็จะเป็น ICO (Initial Coin Offering) คือ แทนที่จะระดมทุนเป็นหุ้น ก็เป็นโทเคน ขณะที่มีต้นทุนการระดมทุนลดลง เข้าถึงสะดวกมากขึ้น โดยมีหลายบริษัทในไทยที่พร้อมทำ ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย หรือ TDX  รองรับอยู่”

สำหรับการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน หรือ ESG ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการสนับสนุนบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ ESG มีการเผยแพร่ข้อมูลให้เห็นว่า บริษัทนี้มีการดำเนินงานตามแนวคิด ESG ที่ดี มีการจัดทำรายชื่อหุ้นยั่งยืน และ SET ESG Index ซึ่งช่วยได้มาก แต่อีกส่วนหนึ่งอยากให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมไร้ก๊าซเรือนกระจก โดยร่วมกับ บล. ในการสนับสนุนให้ใช้กลไกของตลาดหลักทรัพย์ฯ มาสนับสนุนการทำ carbon credit  เพราะโครงการที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีต้นทุนสูง ถ้านำ carbon credit มาจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดรองได้ จะทำให้มีสภาพคล่องสูงขึ้น เป็นการช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านในโลกของ ESG

อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้จากหนังสือที่ระลึกตลาดหลักทรัพย์ฯ  ครบรอบ 50 ปี ที่ห้องสมุดมารวย
 


บทความที่เกี่ยวข้อง