การสนธิข้อมูลตราสารหนี้และข้อมูลหลักทรัพย์เป็นเรื่องเร่งด่วนของตลาดทุน

โดย SET
Q-นายสมจินต์-ศรไพศาล

การสนธิข้อมูลตราสารหนี้และข้อมูลหลักทรัพย์เป็นเรื่องเร่งด่วนของตลาดทุน

ตลาดการเงินของไทยประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก คือ 1.ตราสารหนี้ 2.ตลาดหุ้น 3.ตลาดสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ รวม 3 องค์ประกอบ จะมีขนาด 54 ล้านล้านบาท หรือ 3 เท่าของจีดีพี เป็น 3 เสาหลัก

“ในอดีตตลาดการเงินไทยจะอิงกับความมั่นคงของธนาคารพาณิชย์ พอมีตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรที่เติบโตขึ้นมา ทำให้มีความแข็งแรงขึ้น ไม่ล้มง่าย และทำให้ธุรกิจมีทางเลือกในการระดมทุนตามความเหมาะสม สำหรับนักลงทุน ถ้ามีเงินที่เป็นเงินเย็นจะลงทุนระยะยาว สามารถไปลงทุนในหุ้นทุนได้ แต่ถ้าเป็นเงินที่ใช้สำหรับ 1 ปี จะอยู่ในตลาดเงิน คือ เงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ระยะสั้น โดยตลาดตราสารหนี้อยู่ตรงกลาง เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมองในมุมแหล่งระดมทุน หรือเครื่องมือการลงทุน ตลาดตราสารหนี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้การทำงานของตลาดเงินมีประสิทธิภาพและบริบูรณ์”

สำหรับความร่วมมือของ สมาคมตราสารหนี้ไทย กับตลาดหลักทรัพย์ฯ มีทั้งด้านความรู้ที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะเครื่องมือการลงทุน แต่เป็นภาพรวมการลงทุนด้วย ล่าสุดมีความพยายามที่จะร่วมมือกับองค์กรในสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) และตลาดหลักทรัพย์ฯ  ในการสนธิข้อมูลตราสารหนี้ เพราะที่ผ่านมาผู้เสนอหลักทรัพย์จะมีข้อมูลส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ  แต่ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับการออกตราสารหนี้ สมาคมฯ ได้รับก่อน แต่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจจะได้รับทีหลัง การสนธิข้อมูลเข้าด้วยกันจึงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นทิศทางที่กำลังพยายามทำอย่างต่อเนื่อง ต้องยอมรับกรณีที่เกิดกับหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK จุดประกายเรื่องนี้ขึ้นมา และถูกยกระดับให้กลายเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนของตลาดทุน

นอกจากนี้ ยังมีโครงการ DLT Scripless Bond เป็นการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการจัดการตราสารหนี้ภาครัฐ เพื่อรองรับการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาล เพิ่มความสะดวกรวดเร็วแก่ผู้ลงทุน
ทั้งนี้ เรื่องสำคัญเร่งด่วนขณะนี้ คือ แนวทางการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน หรือ ESG (Environment, Social, และ Governance) และการออก green bond ผมเชื่อว่า บริษัทจดทะเบียนต่างอยู่ในอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดปัจจัยของปัญหาโลกร้อน เป็นความเสี่ยงที่บริษัทฯ ที่ต้องเผชิญ และต้องลดปัจจัยที่ส่งผลทางลบ เช่น ยุโรปจะมีการเก็บภาษี CBAM ถ้าธุรกิจไม่ปฏิบัติตาม จะกลายเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ

นอกจากนี้ การที่เราจะบรรลุเป้าหมายของการมี carbon neutral ในปี 2050 และ Net Zero ในปี 2065 จะทำให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน ทั้ง ESG bond และหุ้นทุนด้วย ประเด็นคือ การออกตราสารหรือหุ้นเหล่านี้ ต้องการมาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย (Thailand Taxonomy) ในการ classify กิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งจะต้องมีผู้ประเมินอิสระจากภายนอกว่า ตราสารที่ออก “เขียวหรือไม่เขียว” โดยสมาคมฯ ได้ทุนจาก CMDF ในโครงการให้ทุนสนับสนุนและส่งเสริมการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน (ESG Bond Issuance Grant Scheme) ในการตรวจสอบหรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน ที่ออกเสนอขายระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2566 ถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2567 โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ สนับสนุนทั้งเรื่องการเปิดเผยรายงานกิจกรรมทางธุรกิจ และเป็นผู้นำประสานความร่วมมือกับ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และสำนักงาน ก.ล.ต. ในการทำงานเรื่องนี้

สำหรับความเสี่ยงในอนาคตของตลาดทุนไทยนั้น นอกจากไทยจะอยู่ในยุคอัตราดอกเบี้ยสูง เศรษฐกิจเติบโตต่ำ ความไม่แน่นอนในโลกเพิ่มขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก ทำให้นักลงทุนไทยมีความท้าทายทั้งในการดำเนินธุรกิจและพอร์ตการลงทุน แต่ทางออกไม่ใช่หนีการลงทุน แต่ต้องมีกระบวนการเก็บสะสมที่ดีขึ้น มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหาย
อ่านบทสัมภาษณ์เต็มได้จากหนังสือที่ระลึกตลาดหลักทรัพย์ฯ  ครบรอบ 50 ปี ที่ห้องสมุดมารวย


บทความที่เกี่ยวข้อง