
สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการลงทุนก็คือขั้นตอน
ของการ “ปรับพอร์ตลงทุน” เพราะเมื่อเวลาผ่านไป
สัดส่วนการลงทุนของพอร์ต
อาจผิดเพี้ยนไปจากสัดส่วนตั้งต้น
เนื่องจากผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละตัวเติบโต ไม่เท่ากัน

สินทรัพย์ที่โตเร็วจะมีมูลค่าวิ่งแซงสินทรัพย์อื่นๆ สัดส่วนโดยรวมของพอร์ตจึงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด และอาจทำให้ความเสี่ยงของพอร์ตเพิ่มมากขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
การปรับพอร์ตจึงทำให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่า... พอร์ตการลงทุนจะยังตอบโจทย์เป้าหมาย ในอนาคต แถมยังอยู่ในระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ยิ่งในภาวะที่สถานการณ์มีการ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นักลงทุนยิ่งจำเป็นต้องหันกลับมาดูพอร์ตที่ลงทุนไปว่ามีการ ปรับเปลี่ยนมากน้อยเพียงใด
ตัวอย่างเช่น นักลงทุนคนหนึ่งยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับปานกลาง (Moderate) จึงจัดสรรเงินลงทุนใน
หุ้น 50% ตราสารหนี้ 30% และเงินฝากอีก 20% ตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มลงทุน ซึ่งปีนั้นทั้งปีตลาดหุ้นพุ่งขึ้นแบบทะยานฟ้า ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในพอร์ต เพิ่มขึ้นอย่างมาก นักลงทุน H-A-P-P-Y แต่ลืมนึกไปว่า
สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตก็จะเพิ่มขึ้นจาก 50% เป็น 70% ของพอร์ตด้วยเช่นกัน พอร์ตนี้จึงมีความเสี่ยงโดยรวมที่สูงขึ้น

สัดส่วน
การลงทุนในพอร์ต
(ม.ค. 25X1)
สัดส่วน
การลงทุนในพอร์ต
(ธ.ค. 25X1)
หากนักลงทุนไม่มีการปรับพอร์ตใดๆ
และเกิดโชคดีที่หุ้นยังขึ้นต่อ สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตก็จะยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น 80% หรือ 90% ของพอร์ต แต่หากโชคร้าย สถานการณ์พลิกเป็นหุ้นตกอย่างแรง เมื่อไหร่ รับรองว่า... พอร์ตที่มีหุ้นในสัดส่วนสูงๆ เสียหายหนักแน่นอน
ถ้าต้องยอมรับความเสี่ยงสูงขนาดนั้น นักลงทุนหลายท่านคงรับมือไม่ไหว คำถามคือ...
จะปรับพอร์ตอย่างไรดี?
เริ่มง่ายๆ จากการกำหนดช่วงการเปลี่ยนแปลงที่ยอมรับได้ของสินทรัพย์แต่ละประเภท เช่น กำหนดให้หุ้นมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ไม่เกิน 10% จากพอร์ตตั้งต้น ถ้าเกินจากสัดส่วนนี้ จะทำการปรับพอร์ตทันที เพื่อปรับให้สัดส่วนการลงทุนกลับมาเท่าเดิม หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “Rebalance” นั่นเอง

- กำหนดตามช่วงเวลา เช่น ทุก 6 เดือน หรือทุกปี
- กำหนดเป้าหมายในการปรับพอร์ต เช่น ถ้า 10% จะปรับพอร์ต 1 ครั้ง
- กำหนดช่วงเวลาและเป้าหมายในการปรับพอร์ต เช่น ถ้าครบ 6 เดือน และพอร์ตมีกำไร 10%
จะทำการปรับพอร์ต 1 ครั้ง

จากตารางจะเห็นว่า... หากสัดส่วนการถือครองหุ้นน้อยกว่า 40% หรือมากกว่า 60% ของพอร์ต
นักลงทุนก็จะทำการปรับพอร์ตให้กลับมาเท่ากับพอร์ตตั้งต้นที่วางไว้ คือ ถือหุ้น 50% ของพอร์ต ซึ่งนักลงทุนอาจปรับพอร์ตโดย

1. ขายสินทรัพย์ประเภทที่เกินสัดส่วนเดิม (Overweight) ออกไป
เช่น ขายหุ้นออกไปให้เหลือสัดส่วนเพียง 50% ของมูลค่าพอร์ต แล้วนำเงินไปซื้อสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เพื่อให้กลับมามีสัดส่วนเท่าเดิมในพอร์ตตั้งต้น

2. นำเงินมาเติมในพอร์ต โดยซื้อสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนต่ำกว่าเดิม (Underweight)
เช่น ซื้อตราสารหนี้ หรือฝากเงินเพิ่ม เพื่อให้กลับมามีสัดส่วน 30% และ 20% ตามลำดับ
ความคิดเห็นของท่านเกี่ยวกับเว็บไซต์ “ห้องเรียนนักลงทุน”
ท่านได้รับความรู้จากเนื้อหาของ เว็บไซต์ห้องเรียนนักลงทุน เพิ่มขึ้น มากน้อยเพียงใด
ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้งาน มากน้อยเพียงใด
ท่านได้รับความรู้จากเนื้อหาของ เว็บไซต์ห้องเรียนนักลงทุน เพิ่มขึ้น มากน้อยเพียงใด
ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้งาน มากน้อยเพียงใด